การส่งสการเป็นพิธีกรรมการปลงศพอย่างชาวล้านนา ที่บุตรหลานญาติมิตรจะนำสรีร่างผู้วายชนม์ไปประกอบพิธีที่ป่าช้า ในขบวนเชิญปราสาทส่งสการเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ ในวันเสาร์ ที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๖ จะประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังต่อไปนี้
๑. กังสดาลนำขบวน
๒. ตุงสามหางและถุงย่ามใส่ห่อข้าวด่วน
๓. หม้อไฟ
๔. เสลี่ยงครูบาพระเถระเทศนาธรรมพื้นเมืองล้านนา
๕. เสลี่ยงรูปเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่
๖. เสลี่ยงตัวเปิ้ง(ปีเกิด)ของเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่
๗. ขันข้าวตอกดอกไม้ ที่นำมาร่วมพิธีของชาวบ้าน
๘. ขันโตกผ้าไตรและขันโตกดอกไม้จันทน์
๙. หาบมะนาวสำหรับทิ้งทาน(โหงมะนาว) หาบน้ำอาบ
๑๐. บุตรธิดาของเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ เชิญเครื่องสักการะ
๑๑. เสลี่ยงเครื่องสักการะ คือ หมากสุ่ม หมากเบ็ง ต้นดอก ต้นผึ้ง และต้นเทียน
๑๒. วงแห่ปี่พาทย์ล้านนา
๑๓. เสลี่ยงเครื่องใช้ของเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ คือ น้ำต้น(คนโท) ขันหมาก และหมอนอิง
๑๔. สามเณรจำนวน ๙๔ รูปเท่าอายุเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ เดินจูงฝ้ายเชิญปราสาทอยู่ตรงกลาง และผู้ร่วมงานเดินจูงเชือกเชิญปราสาทขนาบข้างทั้ง ๒ ของสามเณร
๑๕. ปานใช้ตีประกอบการเดิน
๑๖. ปราสาทห้ายอดเชิญสรีระเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่
๑๗. วงแห่ปี่พาทย์ล้านนา
๑๘. ผู้มาร่วมงานเดินตามส่งสการ
ขบวนส่งสการของเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ ทั้ง ๑๘ ลำดับจัดขึ้นตามจารีตโบราณล้านนา มีเหตุผลในการจัดตามคติความเชื่อดังต่อไปนี้
๑. กังสดาลนำขบวน
กังสดาล คือ แผ่นโลหะที่ตีแล้วให้เกิดเสียงกังวาน หล่อจากสำริดหรือทองเหลือง รูปร่างคล้ายพัดคลี่ ด้านบนเจาะรูแขวน ด้านล่างเป็นวงโค้ง ตีเพื่อส่งสัญญาณให้รู้ว่ามีขบวนพิธีกำลังเคลื่อนมา ทางด้านความเชื่อเชื่อว่าเสียงตีกังสดาลเป็นสัญญาณ ที่นำทางให้ดวงวิญญาณของผู้วายชนม์ได้เดินทางไปสู่ภพภูมิที่ดี
๒. ตุงสามหาง
ตุงสามหางคือผืนธงที่ทำจากผ้าขาวหรือกระดาษสีขาว ส่วนล่างทำเป็น ๓ ชาย ส่วนบนตั้งแต่หัวตุงถึงเอวตุงมีลักษณะเป็นรูปกายมนุษย์ ประดับตกแต่งด้วยลวดลายกระดาษสี มีการเขียนชื่อสกุล อายุ หรือรูปปีนักษัตรของผู้วายชนม์ติดไว้ที่ตุง ๓ หาง เพื่อให้เป็นเครื่องหมายแทนบุคคลผู้วายชนม์ คติของการทำตุงเป็น ๓ หาง มีอธิบายไว้หลายประการ ทั้งหมายถึงไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรืออกุศลมูล ๓ คือ โลภะ โทสะ โมหะ หรือภพทั้ง ๓ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ และไตรวัฏฏ์ คือ กิเลส กรรม และวิบาก ตุงสามหางจะผูกติดกับปลายไม้ปักไว้ข้างโลงศพ เมื่อเคลื่อนศพสู่ป้าช้าจะมีคนแบกตุงสามหางไปในขบวน เป็นสัญลักษณ์ผู้คนทราบว่ามีขบวนศพกำลังเคลื่อนมา ขณะเดียวกันก็สื่อถึงการนำดวงวิญญาณของผู้วายชนม์ไปสู่ภพภูมิที่ดี
๓. ถุงย่ามห่อข้าวด่วน
ถุงย่ามห่อข้าวด่วน ทำจากผ้าขาวหรือกระดาษสาตัดเย็บเป็นถุงย่าม อาจมีการประดับด้วยลวดลายกระดาษสี ภายในถุงห่อข้าวด่วนจะใส่ไข่ต้ม ห่อข้าวเหนียว อาหาร ผลไม้ หมาก เมี่ยง บุหรี่ และเข็ม ทำขึ้นด้วยความเชื่อว่าใช้เป็นเสบียงอาหารให้ผู้วายชนม์ในการเดินทางไปสู่โลกหน้า เข็มมีไว้ให้ดวงวิญญาณใช้เย็บเสื้อผ้าที่ขาดในระหว่างการเดินทางไปสู่ภพภูมิอื่น คนที่ทำหน้าที่แบกตุงสามหางจะสะพายถุงห่อข้าวเดินนำหน้าขบวนศพ การทำถุงข้าวด่วนจึงเป็นการแสดงถึงความรักและกตัญญูต่อผู้ที่จากไป และแสดงถึงความห่วงใยของผู้มีชีวิตอยู่เบื้องหลัง ปรารถนาให้ผู้วายชนม์ได้มีเสบียงอาหารนำไปเป็นปัจจัยในการเดินทางไปสู่โลกหน้า
๔. หม้อไฟ
หม้อไฟคือหม้อดินเผาที่ภายในบรรจุเชื้อไฟ เช่น กาบมะพร้าวแห้ง และเศษผ้า เศษไม้ เป็นต้น เพื่อนำไปเป็นเชื้อเพลิงในการฌาปนกิจ บางแห่งหากไม่ใช้หม้อไฟก็ใช้ผ้าห่มทั้งผืนพันให้เป็นเกลียว จุดไฟที่ปลายด้านใดด้านหนึ่งเรียกว่า “มุด” หรือ “หมุด” หรือบางแห่งก็ใช้กิ่งไม้แห้งมามัดรวมกันเรียกว่า “ไม้แคร่” ด้วยมีความเชื่อว่าถ้าไปถึงป่าช้าแล้วหากลืมไฟที่เผาศพห้ามกลับมาเอาไฟที่บ้าน ต้องหาวิธีทำให้มีไฟขึ้นภายในป่าช้าเท่านั้น เพื่อเป็นการจัดการให้รอบคอบจึงนำหม้อไฟหรือมุดหรือไม้แคร่ไปในขบวนศพตั้งแต่ออกจากบ้านและบางแห่งก็เชื่อว่าหม้อไฟหรือมุดหรือไม้แคร่เปรียบเสมือนแสงสว่างนำทางในการเดินทางให้กับดวงวิญญาณของผู้วายชนม์ ด้วยเวลากลางวันที่ทำการชักลากขบวนศพไปสู่ป่าช้าถือว่าเป็นช่วงเวลากลางคืนในโลกของวิญญาณ บ้างก็เชื่อว่าเวลาในโลกวิญญาณสลับกันกับเวลาในโลกของมนุษย์
๕. พระเถระเทศนาธรรมนำปราสาทศพส่งสการ
พระเถระนั่งเสลี่ยงอ่านคัมภีร์พระธรรมนำขบวนส่งสการ เชื่อว่าการเทศนาพระธรรมนำขบวนส่งสการศพจะเป็นอานิสงส์นำทางให้ดวงวิญญาณผู้วายชนม์ไปสู่สุขคติ มีพระธรรมคำสอนอันประเสริฐเป็นสิ่งนำทางในการไปสู่โลกหน้า
๖. รูปเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่
เป็นรูปภาพเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ ผู้วายชนม์
๗. ตัวเปิ้งของเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่
ตัวเปิ้งเป็นรูปนักษัตรประจำปีเกิดแทนตัวของผู้วายชนม์ ในยุคก่อนที่ไม่มีภาพถ่ายจึงทำเป็นรูปตัวเปิ้งเพื่อเป็นตัวแทนตัวผู้วายชนม์ ตัวเปิ้งของเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่เป็นรูปงู ด้วยท่านถือกำเนิดในปีใส้หรือปีมะเส็ง
๘. ขันข้าวตอกดอกไม้
ขันข้าวตอกดอกไม้เป็นเครื่องประกอบพิธีกรรม คนภาคเหนือมักเรียกภาชนะที่บรรจุข้าวตอกดอกไม้ว่า “ขัน” รวมๆ กันไป บางทีอาจเป็นพาน บางทีอาจเป็นพานพุ่ม และบางทีก็เป็นขัน
๙. ขันโตกผ้าไตรและขันโตกดอกไม้จันทน์
ผ้าไตรใช้สำหรับบังสุกุลแก่ผู้วายชนม์ และดอกไม้จันทน์ใช้วางแสดงความรักอาลัยและเคารพต่อผู้วายชนม์
๑๐. หาบมะนาวสำหรับการทิ้งทาน หาบน้ำอาบ และผู้เฒ่าผู้แก่ถือขันข้าวตอกดอกไม้โปรย
การโหงมะนาวหรือโยนมะนาวทิ้งทานทำกันหลายรูปแบบ หากเป็นเจ้าผู้ครองนครหรือเจ้านายก็จะนำฉลากมีชื่อข้าทาสบริวารสัตว์สิ่งของที่จะให้ทานใส่ไว้ในผลมะนาว เมื่อทำการโปรยทานแล้วผู้ใดเก็บผลมะนาวได้ฉลากรายชื่อสิ่งไหน ทางเจ้าภาพก็จะมอบสิ่งนั้นให้ทานเพื่ออุทิศเป็นกุศลแก่ผู้วายชนม์ ส่วนชาวบ้านทั่วไปนิยมใช้เหรียญเงินสอดใส่ในผลมะนาวที่ผ่ากลางในการโปรยทาน มีคนหาบน้ำอาบเป็นน้ำสะอาดที่หาบไปจากบ้าน เพื่อใช้อาบน้ำให้ศพพอเป็นพิธีที่ป่าช้าก่อนเผา และมีการโปรยข้าวตอกดอกไม้ระหว่างทางที่ขบวนผ่าน เพื่อแสดงถึงการเคารพสักการะดวงวิญญาณของผู้วายชนม์
๑๑. บุตรธิดาของเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ ถือเครื่องสักการะ
บุตรธิดาของเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ ถือเครื่องสักการะ เพื่อใช้เคารพสักการะดวงวิญญาณของเจ้าแม่
๑๒. เสลี่ยงเครื่องสักการะ คือ หมากสุ่ม หมากเบ็ง ต้นดอก ต้นผึ้ง และต้นเทียน
เครื่องสักการะ อันประกอบด้วย หมากสุ่ม หมากเบ็ง ต้นดอก ต้นผึ้ง และต้นเทียน เป็นประณีตศิลป์ของช่างศิลปะล้านนา นิยมใช้ในงานพระศาสนาและงานที่สำคัญอื่นๆ
๑๓. วงแห่ปี่พาทย์ล้านนา
วงแห่ปี่พาทย์ล้านนาใช้เป็นเครื่องประโคมระหว่างตั้งศพที่บ้าน ในขณะชักลากปราสาทศพ และประกอบพิธีกรรมที่ป่าช้า ตามจารีตโบราณวงแห่ปี่พาทย์ล้านนาที่บรรเลงแห่ชักลากปราสาทศพใช้เฉพาะสำหรับงานศพของเจ้านายและครูบาพระเถระเท่านั้น การแห่ปี่พาทย์จึงใช้ทั้งบรรเลงเป็นขับกล่อมลดความโศกเศร้า และทำให้เกิดจินตภาพถึงวิมานสรวงสวรรค์ชั้นฟ้าที่ผู้วายชนม์กำลังจะเดินทางไปสู่สุขคติ
๑๔. เสลี่ยงเครื่องใช้ของเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ คือ น้ำต้น(คนโท) ขันหมาก และหมอนอิงสามเหลี่ยม
เป็นเครื่องใช้ที่เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ เคยใช้สอยใกล้ตัว สมัยโบราณก็ถือว่าเครื่องใช้ไม้สอยอันวิจิตรงดงามบางอย่างเป็นเครื่องประดับยศไปด้วย
๑๕. สามเณรจำนวน ๙๔ รูปเท่าอายุเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ เดินจูงฝ้ายเชิญปราสาทอยู่ตรงกลาง และผู้ร่วมงานเดินจูงเชือกเชิญปราสาทขนาบข้างทั้ง ๒ ของสามเณร
สามเณรจำนวน ๙๔ รูปเท่าอายุของเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ ฝ้ายต่อง (บ่วงฝ้าย) ที่ใช้จูงจากปราสาทมี ๗ บ่วงผูกโยงสลับกันไป แล้วนำปลายฝ้ายต่องไปผูกโยงกับโลงศพด้านปลายเท้า จารีตบางแห่งใช้ฝ้ายต่องกับศพของผู้หญิง ๗ ต่อง ศพของผู้ชาย ๙ ต่อง ตามคติการนับวงศ์ตระกูล ๗ ชั่วอายุคนและ ๙ ชั่วอายุคนดังคำกล่าวที่ว่า “๗ เจ้นขะกูลเป็นเค้า ๙ เจ้นขะกูลเป็นแดน” แต่บางแห่งก็ใช้เหมือนกันทั้งชายและหญิงในจำนวน ๙ ต่อง หมายถึงไตรสรณคมน์ที่เป็นเครื่องนำไปสู่สุขคติภูมิ คือ การเปล่งวาจาถึงพระพุทธเจ้า ๓ ครั้ง พระธรรม ๓ ครั้ง พระสงฆ์ ๓ ครั้ง เรียกว่า “สรณคมน์ ๙ บั้ง” หรือหมายถึงวงศ์ตระกูลทั้ง ๙ ลำดับชั้น คือ บรรพบุรุษ ๔ ชั่วคน ตนเองอยู่ตรงกลาง และทายาทบุตรหลานอีก ๔ ชั่วคน
๑๖. ปาน (เครื่องตีประกอบพิธีกรรมชนิดหนึ่ง)
ปาน คือ แผ่นโลหะตีขึ้นรูปจากทองเหลือง รูปร่างคล้ายฆ้องแต่ไม่มีปุ่มตรงกลาง ตีเพื่อส่งสัญญาณให้รู้ว่ามีขบวนปราสาทศพกำลังเคลื่อนมา โบราณจะตีปานระหว่างชักลากปราสาทศพตั้งแต่หัวขบวนไปถึงท้ายขบวนวนไปมาจนกว่าจะถึงป่าช้า ทางด้านความเชื่อเชื่อว่าเป็นการตีเป็นสัญญาณเพื่อนำดวงวิญญาณผู้วายชนม์ไปสู่ภพภูมิที่ดีเช่นเดียวกับการตีกังสดาล ด้วยถือคติเลียนแบบตามตำนานพระเจ้าพรหมมหาราชใช้ปานที่ทำด้วยทองคำตีนำช้างชื่อปานคำขึ้นจากแม่น้ำโขงมาเป็นช้างคู่พระบารมี เชื่อว่าเสียงจากปานมีฤทธานุภาพนำพาดวงวิญญาณผู้วายชนม์ขึ้นสู่สวรรค์ชั้นฟ้า
๑๗. ปราสาทห้ายอดเชิญสรีระเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่
ปราสาทศพสร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของวิมานปราสาทบนสรวงสวรรค์ หากเป็นระดับเจ้าผู้ครองนครก็แทนปราสาทเวชไชยนต์บนยอดเขาพระสุเมรุบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ปราสาทศพตามจารีตโบราณล้านนาใช้ใส่ศพของชนชั้นเจ้านาย มีทั้ง ๑ ยอด ๓ ยอด ๕ ยอด ๗ ยอด จนถึง ๙ ยอดตามฐานันดรศักดิ์ หากเป็นระดับเจ้าผู้ครองนครและเจ้านายชั้นสูงหรือพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ก็จะสร้างปราสาทศพเทินบนหลังนกหัสดีลิงค์หรือสัตว์หิมพานต์ต่าง ๆ ด้วยมีความเชื่อว่าปราสาทศพจะเป็นวิมานปราสาทให้ดวงวิญญาณได้อาศัยเมื่อกลับขึ้นสู่สรวงสวรรค์ ในกรณีของเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ เป็นเจ้านายในชั้นธิดาของเจ้านายชั้นสัญญาบัตรคือเจ้าราชภาคินัย (เจ้าน้อยเมืองชื่น ณ เชียงใหม่) ของนครเชียงใหม่ เป็นเจ้านายที่มีอาวุโสสูงและทำคุณประโยชน์ต่อบ้านเมืองเชียงใหม่เป็นอันมาก จึงมีความเห็นร่วมกันสร้างปราสาท ๕ ยอดเพื่อใช้ในพิธีนี้
๑๘. วงแห่ปี่พาทย์ล้านนา
วงแห่ปี่พาทย์ล้านนาใช้เป็นเครื่องประโคมระหว่างตั้งศพที่บ้าน ชักลากปราสาทศพ และประกอบพิธีกรรมที่ป่าช้า ตามจารีตโบราณวงแห่ปี่พาทย์ล้านนาที่บรรเลงแห่ชักลากปราสาทศพใช้เฉพาะสำหรับงานศพของเจ้านายและครูบาพระเถระเท่านั้น การแห่ปี่พาทย์จึงใช้ทั้งบรรเลงเป็นการขับกล่อมลดความโศกเศร้า และทำให้เกิดจินตภาพถึงวิมานสรวงสวรรค์ชั้นฟ้าที่ผู้วายชนม์กำลังจะเดินทางไปสู่ เหตุที่ขบวนค่อนข้างยาว จึงมีการประโคมแห่ปี่พาทย์ล้านนาตามหลังปราสาทศพอีก ๑ คณะ เพื่อช่วยกำจัดความเงียบเหงาและเหนื่อยล้า
ขบวนปราสาทศพตามจารีตล้านนา จะมีทั้งผู้ที่เดินข้างหน้าทำการชักลากปราสาทศพ และเดินตามปราสาทศพ ในพิธีเชิญปราสาทศพนี้จะมีผู้รู้จักคุ้นเคยกับเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่จากจังหวัดต่างๆ มาร่วมเดิน “ส่งศพ” (ตามภาษาล้านนา) ด้วยที่ท้ายขบวน
เอกสารที่นำมาประกอบในการพิจารณาจัดขบวน
ประเพณีทำศพ เอกสารชุดประเพณีเมืองเชียงใหม่ ของสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ.๒๕๔๓
ปริศนาธรรมในพิธีกรรมล้านนา ของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ.๒๕๔๘
ส่งสการ : พิธีกรรมล้านนา ของศาสตราจารย์เกียรติคุณมณี พยอมยงค์ พ.ศ.๒๕๕๒
ประเพณีชีวิตคนเมือง ของพ่อครูศรีเลา เกษพรหม พ.ศ.๒๕๔๔
โลกหน้าล้านนา : พัฒนาการการสร้างปราสาทศพต่างสัตว์หิมพานต์และการก่อกู่ ของภูเดช แสนสา พ.ศ.๒๕๕๖
ที่ปรึกษาในการจัดขบวน พระครูอดุลสีลกิตติ์ (ประพัฒน์ ฐานวุฑฺโฒ) วัดธาตุคำ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
ผู้จัดขบวน อาจารย์รำพัด โกฏิ์แก้ว พิพิธภัณฑ์บ้านม่อนฝ้าย อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
ใส่ความเห็น