๑.กังสดาลนำขบวน
๒.ตุงสามหางและถุงย่าามใส่ห่อข้าวด่วน
๓.หม้อไฟ
๔.เสลี่ยงครูบาพระเถระเทศนาธรรมพื้นเมืองล้านนา
๕.เสลี่ยงรูปเจ้าดวงเดือนน ณ เชียงใหม่
๖.เสลี่ยงตัวเปิ้ง (ปีเกิด) ของเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่
๗.ขันข้าวตอกดอกไม้ ที่นำมาร่วมพิธีของชาวบ้านน
๘.ขันโตกผ้าไตรและขันโตกดอกไม้จันทน์
๙.หาบมะนาวสำหรับทิ้งทาน(โหงมะนาว) หาบน้ำอาบ
๑o.บุตรธิดาของเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ เชิญเครื่องสักการะ
๑๑.เสลี่ยงเครื่องสักการะ คือ หมากสุ่ม หมากเบ็ง ต้นดอก ต้นผึ้ง และต้นเทียม
๑๒.วงแห่ปี่พาทย์ล้านา
๑๓.เสลี่ยงเครื่องใช้ของเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ คือน้ำต้น(คนโท) ขันหมาก และหมอนอิง
๑๔.สามเณรจำนวน ๙๔ รูปเท่าอายุเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ เดินจูงฝ้ายเชิญปราสาทอยู่ตรงกลาง และผู้ร่วมงานเดินจูงเชือกเชิญปราสาทขนาบข้างทั้ง ๒ ของสามเณร
๑๕.ปานใช้ตีประกอบการเดิน
๑๖.ปราสาทห้ายอดเชิญสรีระเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่
๑๗.วงแห่ปี่พาทย์ล้านนา
๑๘.ผู้มาร่วมงานเดินตามส่งสการ
๑.กังสดาลนำขบวน
กังสดาล คือ แผ่นโลหะที่ตีแล้วให้เกิดเสียงกังวาล หล่อจากสำริดหรือทองเหลือง รูปร่างคล้ายพัดคลี่ ด้านบนเจาะรูแขวน ด้านล่างเป็นวงโค้ง ตีเพื่อส่งสัญญาณให้รู้ว่ามีขบวนพิธีกำลังเคลื่อนมาทางด้านความเชื่อเชื่อว่าเสียงตีกังสดาลเป็นสัญญาณ ที่นำทางให้ดวงวิญญาณของผู้วายชนม์ได้เดินทางไปสู่ภพภูมิที่ดี
๒.ตุงสามหาง
ตุงสามหางคือผืนธงที่ทำจากผ้าขาวหรือกระดาษสีขาว ส่วนล่างทำเป็น ๓ ชาย ส่วนบนตั้งแต่หัวตุงถึงเอลตุงมีลักษณะเป็นรูปกายมนุษย์ ประดับตกแต่งด้วลวดลาย กระดาษสี มีการเขียนนชื่อสกุล อายุ หรือรูปปีนักกษัตรของผู้วายชนม์ติดไว้ที่ตุง ๓ หางเพื่อให้เป็นเครื่องหมายแทบุคคลผู้วายชนม์คติของการทำตุงเป็น ๓ หางมีอธิบายไว้หลายประการ ทั้งหมายถึงไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรืออกุศลมูล ๓ คือ โลภะ โทสะ โมหะ หรือภพทั้ง ๓ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ และไตรวัฏฏ์ คือ กิเลสกรรม และวิบาก ตุงสามหางจะผูกติดกับปลายไม้ปักไว้ข้างหลังโลงศพ เมื่อเคลื่อนศพสู่ป่าช้าจะมีคนแบกจุงสามหางไปในขบวน เป็นสัญลักษณ์ผู้คนนทราบว่ามีขบวนศพกำลังเคลื่อนมา ขณะเดียวกันก็สื่อถึงการนำดวงวิญญาณผู้วายชนม์ไปสู่ภพภูมิที่ดี
๓.ถุงย่ามห่อข้าวด่วน
ถุงย่ามห่อข้าวด่วน ทำจากผ้าขาวหรือกระดาษสาตัดเย็บเป็นถุงย่าม อาจมีการประดับด้วยลวดลายกระดาษสี ภายในถุงห่อข้าวด่วนจะใส่ไข่ต้ม ห่อข้าวเหนียว อาหาร ผลไม้ หมาก เมี่ยง บุหรี่ และเข็ม ทำขึ้นด้วยความเชื่อว่าใช้เป็นเสบี่ยงอาหารให้ผู้วายชนม์ในการเดินทางไปสู่โลกหน้า เข็มมีไว้ให้ดวงวิญญาณใช้เย็บเสื้อผ้าขาดในระหว่างการเดินทางไปสู่ภพภูมิอื่น คนที่ทำหน้าที่แบกตุงสามหางจะสะพายถุงห่อข้าวเดินนำหน้าขบวนศพ การทำถุงข้าวด่วนนจึงเป็นการแสดงถึงความรักและกตัญญูต่อผู้ที่จากไป และแสดงถึงความห่วงใยของผู้มีชีวิตอยู่เบื้องหลัง ปรารถนาให้ผู้วายชนม์ได้มีเสบียงอาหารนำไปเป็นปัจจัยในการเดิทางไปสู่โลกหน้า
๔.หม้อไฟ
หม้อไฟคือหม้อดินเผาที่ภายในบรรจุเชื้อไฟ เช่น กาบมะพร้าวแห้ง และเศษผ้า เศษไม้ เป็นต้น เพื่อนำไปเป็นเชื้อเพลิงในการฌาปนกิจบางแห่งหากไม่ใช้หม้อไฟก็ใช้ผ้าห่มทั้งผืนพันให้เป็นเกลียว จุดไฟที่ปลายด้านใดด้านหนึ่งเรียกว่า “มด” หรือ “หมด” หรือบางแห่งก็ใช้กิ่งไม้แห้งมามัดรวมกันเรียกว่า “ไม้แคร่” ด้วยมีความเชื่อว่าถ้าไปถึงป่าช้าแล้วหากลืมไปที่เผาศพห้ามกลัยบมาเอาไฟที่บ้าน ต้องหาวิธีทำให้มีไฟขึ้นภายในป่าช้าเท่านั้น เพื่อเป็นการจัดการให้รอบคอบจึงนำหม้อไฟหรือมุดหรือไม้แคร่เปรียบเสมือนแสงสว่างนำทางในการเดินทางให้กับดวงวิญญาณของผู้วายชนม์ ด้วยเวลากลางวันที่ทำการชักลากขบวนศพไปสู่ป่าช้าถือว่าเป็นช่วงเวลากลางคืนใโลกของวิญญาณ บ้างก็เชื่อว่าเวลาใโลกวิญญาณสลับกันกับเวลาในโลกมนุษย์
๕.พระเถระเทศนาธรรมนำปราสาทศพส่งสการ
พระเถระนั่งเสลี่ยงอ่านคัมภีร์พระธรรมนำขบวนส่งสาร เชื่อว่าการเทศนาพระธรรมนนำขบวนส่งสการศพจะเป็นอานิสงส์นำทางให้ดวงวิญญาณผู้วายชนม์ไปสู่สุขคติ มีพระธรรมคำสอนอันประเสริฐเป็นสิ่งนำทางในการไปสู่โลกหน้า
๖.รูปเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่
เป็นรูปภาพเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ ผู้วายชนม์
๗.ดังเปิ้งของเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ (คนที่สองนับจากทางซ้ายของภาพ)
ตัวเปิ้งเป็นรูปนักกษัตรประจำปีเกิดแทนตัวของผู้วายชนม์ ในยุคก่อนที่ไม่มีภาพถ่ายจึงทำเป็นรูปตัวเปิ้งเพื่อเป็นตัวแทนตัวผู้วายชนม์ ตัวเปิ้งของเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่เป็นรูปงู ด้วยท่านถือกำเนิดในปีใส้หรือปีมะเส็ง
๘.ขันข้าวตอกดอกไม้
ขันข้าวตอกดอกไม้เป็นเครื่องประกอบพิธีกรรม คนภาคเหนือมักเรียกภาชนะที่บรรจุข้าวตอกดอกไม้ว่า “ขัน” รวมๆ กันไป บางทีอาจเป็นพาน บางทีอาจเป็นพุ่ม และบางทีก็เป็นขัน
๙.ขันโตกผ้าไตรและขันโตกดอกไม้จันทน์
ผ้าไตร ใช้สำหรับบังสกุลแก่ ผู้วายชนม์และดอกไม้จันทน์ใช้วางแสดงความรักและเคารพต่อผู้วายชนม์ที่ป่าช้า
๑o.หาบมะนาวสำหรับการทิ้งทาน หาบน้ำอาบและผู้เฒ่าผู้แก่ถือขันข้าวตอกดอกไม้โปรย
การโหงมะนาวหรือโยนมะนาวทิ้งทานทำกันหลายรูปแบบ หากเป็นเจ้าของผู้ครองนครหรือเจ้านายก็จะนำฉลากมีชื่อข้าทาสบริวารสัตว์สิ่งของที่จะให้ทานใส่ไว้ในผลมะนาว เมื่อทำการโปรยทานแล้วผู้ใดเก็บผลมะนาวได้ฉลากรายชื่อสิ่งไหน ทางเจ้าภาพก็จะมอบสิ่งนั้นให้ทานเพื่ออุทิศเป็นกุศลแก่ผู้วายชนม์ ส่วนชาวบ้านทั่วไปนิยมใช้เหรียญเงินสอดใส่ในผลมะนาวที่ผ่ากลางในการโปรยทาน มีคนหาบน้ำอาบเป็นน้ำสะอาดที่หาบไปจากบ้าน เพื่อใช้อาบน้ำให้ศพพอเป็นพิธีที่ป่าช้าก่อนเผา และมีการโปรยข้าวตอกดอกไม้ระหว่างทางที่ขบวนผ่าน เพื่อแสดงถึงการเคารพสักการะดวงวิญญาณของผู้วายชนม์
๑๑.บุตรธิดาของเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ ถือเครื่องสักการะ
บุตรธิดาของเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ ถือเครื่องสักการะเพื่อใช้เคารพสักการะดวงวิญญาณของเจ้าแม่
๑๒.เสลี่ยงเครื่องสักการะ คือ หมากสุ่ม หมากเบ็ง ต้นดอก ต้นผึ้ง และต้นเทียน
เครื่องสักการะอันประกอบด้วย หมากสุ่ม หมากเบ็ง ต้นดอก ต้นผึ้งและต้นเทียน เป็นประณีตศิลป์ของช่างศิลปะล้านนานิยมใช้ในงานพระศาสนาและงานที่สำคัญอื่นๆ
๑๓.วงแห่ปี่พาทย์ล้านนา
วงแห่ปี่พาทย์ล้านนาใช้เป็นเครื่องประโคมระหว่างต้ั้งศพที่บ้านในขณะชักลากปราสาทศพ และประกอบพิธีกรรมที่ป่าช้า ตามจารีตโบราณวงแห่ปี่พาทย์ล้านนาที่บรรเลงแห่ชักลากปราสาทศพใช้เฉพาะสำหรับงานศพของเจ้านายและครูบาพระเถระเท่านั้น การแห่ปี่พาทย์จึงใช้ทั้งบรรเลงเป็นขับกล่อมลดความโศกเศร้า และทำให้เกิดจินตภาพขึ้นวิมานสรวงสวรรค์ชั้นฟ้าที่ผู้วายชนม์กำลังจะเดินทางไปสู่สุขคติ
๑๔.เสลี่ยงเครื่องใช้ของเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ คือ คนโท ขันหมาก และหมอนสามเหลี่ยม
เป็นเครื่องใช้ที่เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ เคยใช้สอยใกล้ตัวสมัยโบราณก็ถือว่าเครื่องใช้ไม้สอยอันวิจิตรงดงามบาง
อย่างเป็เครื่องประดับยศไปด้วย
๑๕.ช้างพลายเชิญตราสัญลักษณ์ส่งสการตานคาบเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่
เป็นเครื่องใช้ที่เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ เคยใช้สอยใกล้ตัวสมัยโบราณก็ถือว่าเครื่องใช้ไม้สอยอันวิจิตรงดงามบาง
อย่างเป็เครื่องประดับยศไปด้วย
๑๖.สามเณรจำนวน ๙๔ รูปเท่าอายุเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ เดินจูงฝ้ายเชิญปราสาทอยู่ตรงกลาง และผู้ร่วมงานเดินจูงเชือกเชิญปราสาทขนาบข้างทั้ง ๒ ของสามเณร
สามเณรจำนวน ๙๔ รูปเท่าอายุของเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ ฝ้ายต่อง (บ่วงฝ้าย) ที่ใช้จูงจากปราสาทมี ๗ บ่วงผูงโยงสลับกันไป แล้วนำปลายฝ้ายต่องไปผูกโยงกับโลกศพด้านปลายเท้าจารีตบางแห่งใช้ฝ้ายต่องกับศพของผู้หญิง ๗ ต่อง ศพของผู้ชาย ๙ ต่อง ตามคติการนับวงศ์ตระกูล ๗ ชั่วอายุคและ ๙ ชั่วอายุคนดังคำกล่าวที่ว่า “๗ เจ้นขะกูลเป็นเค้า ๙ เจ้าขะกูลเป็นแดน” แต่บางแห่งก็ใช้เหมือนกันทั้งชายและหญิงในจำนวนน ๙ ต่อง หมายถึงไตรสรณคมน์ที่เป็นเครื่องนำไปสู่สุขคติภูมิ คือ การเปล่งวาจาถึงพระพุทธเจ้า ๓ ครั้ง พระธรรม ๓ ครั้ง พระสงฆ์ ๓ ครั้ง เรียกว่า “สรณคมน์ ๙ บั้ง” หรือหมายถึงวงศ์ตระกูลทั้ง ๙ ลำดับชั้นคือ บรรพบุรุษ ๔ ชั่วอายุคน ตนเองอยู่ตรงกลาง และทายาทบุตรหลานอีก ๔ ชั่วอายุคน
๑๗.ปาน (เครื่องตีประกอบพิธีกรรมชนิดหนึ่ง)
ปาน คือ แผ่นโลหะตีขึ้นรูปจากทองเหลือง รูปร่างคล้ายฆ้องแต่ไม่มีปุ่มตรงกลาง ตีเพื่อส่งสัญญาณให้รู้ว่ามีขบวนปราสาทศพกำลังเคลื่อนมา โบราณจะตีปานระหว่างชักลากปราสาทศพตั้งแต่หัวขบวนไปถึงท้ายขบวนไปมาจนกว่าจะถึงป่าช้า ทางด้านความเชื่อเชื่อว่าเป็นการตีเป็นสัญญาณเพื่อนำดวงวิญญาณผู้วายชนม์ไปสู่ภพภูมิที่ดีเช่นเดียวกับการตีกังสดาล ด้วยถือคติเลียนแบบตามตำนานพระเจ้าพรหมมหาราชใช้ปานที่ทำด้วยทองคำตีนำช้างชื่อปานคำขึ้นจากแม่น้ำโขงมาเป็นช้างคู่พระบารมี เชื่อว่าเสียงจากปานมีฤทธานุภาพนำพาดวงวิญญาณผู้วายชนม์ขึ้นสู่สวรรค์ชั้นฟ้า
๑๘.ปราสาทห้ายอดเชิญสรีระเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่
ปราสาทศพสร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของวิมานปราสาทบนสรวงสวรรค์ หากเป็นระดับเจ้าผู้ครองนครก็แทนปราสาทเวชไชยนต์บนยอดเขาพระสุเมรุบนสรรค์ชั้นดาวดึงส์ ปราสาทศพตามจารีตโบราณล้านนาใช้ใส่ศพของชนชั้นเจ้านาย มีทั้ง ๑ ยอด ๓ ยอด ๕ ยอด ๗ ยอด จนถึง ๙ ยอด ยอดตามฐานันดรศักดิ์ หากเป็นระดับเจ้าผู้ครองนครและเจ้านายชั้นสูงหรือพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ก็จะสร้างปราสาทศพเทินบนหลังนกหัสดีลิงค์หรือสัตว์หิมพานต์ต่าง ๆ ด้วยมีความเชื่อว่าปราสาทศพจะเป็นวิมาปราสาทให้ดวงวิญญาณได้อาศัยเมื่อกลับสู่สรวงสวรรค์ ในกรณีของเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ เป็นเจ้านายในชั้นธิดาของเจ้านายชั้นสัญญาบัตรคือเจ้าราชภาคิไนย (เจ้าน้อยเมืองชื่น ณ เชียงใหม่) ของนครเชียงใหม่ เป็นเจ้านาที่มีอาุโสสูงและทำคุณประโยชน์ต่อบ้านเมืองเชียงใหม่เป็นอันมาก จึงมีความเห็นร่วมกันสร้างปราสาท ๕ ยอดเพื่อใช้ในพิธีนี้
ใส่ความเห็น