ห้างลอย
เมื่อมีผู้ถึงแก่วายชนม์ลำดับแรกจะประกอบพิธีกรรมห้างลอยเริ่มจากต้มน้ำร้อนทิ้งไว้ให้อุ่นนำมาอาบน้ำศพ เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่สวมกลับด้านให้ศพ คือสวมด้านในกลับเป็นด้านนอก ด้านหน้าไว้ด้านหลังด้วยมีความเชื่อว่าโลกวิญญาณของคนตายกลับด้านกับโลกของคนเป็น นำศพมานอนบนเสื่อผิวไม้สานที่เรียกว่า “สาดบ่าง” ปูไว้ตรงขื่อเรือนใช้ฝ้ายต่องที่เรียกว่า “ฝ้ายจอนสาด” มาวางรองไว้ ๓ จุด นำเงินหรือคำหมากใส่ปากศพ นำกรวยดอกไม้ให้ศพถือไหว้พนมมือ เพื่อให้ดวงวิญญาณผู้ตายนำไปไหว้พระธาตุเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ผูกมือที่พนมด้วยฝ้ายต่อง และผูกข้อเท้า ๒ ข้างให้ติดกันด้วยฝ้ายต่อง
เอาศพเข้าหล้อง
เอาศพเข้าหล้อง คือ การนำศพลงโลง ในอดีตจะใช้ขี้เถ้าฟางข้าวรองพื้นโลงหนาประมาณ ๑o เซนติเมตร เพื่อดูดซับน้ำเหลืองจากศพและดูดกลิ่นศพ นำตะแกรงไม้ไผ่มาวางบนขี้เถ้า จากนั้นทำพิธีปัดโลง (ภาคกลางเรียกว่าเบิงโลง) โดยใช้กิ่งไม้ปัดไปมาภายในโลงศพพร้อมกับกล่าวว่า “ขวัญคนหนี ขวัญผีอยู่” ทำการปัดและกล่าวคำ ๓ ครั้งจึงนำศพลงโลง บางแห่งใช้ผ้าขาวคลุมพระเศรียรพระพทุธรูปที่ผ่านพิธีพุทธาภิเษกนำมาคลุมหน้าศพ เชื่อว่าจะทำให้ดวงวิญญาณไปสู่ภพภูมิที่ดี มีความนิยมเก็บศพบำเพ็ญกุศล ๓ – ๗ วัน ดังนั้นหากจัดเก็บศพไว้หลายวันต้องทำ “ดือหล้อง” โดยเจาะฝาโลงให้เป็นรูขนาด ๓ เซนติเมตรใช้ไม้ไผ่ทะลุปล้องสอดเข้าไปในรูฝาโลงปลายไม้ไผ่อีกด้านทะลุขึ้นไปบนหลังคาเรือนเพื่อระบายกลิ่นของศพ และบางงานก็ใช้ฟักเขียวผ่าครึ่งวางไว้ใต้โลงศพเพื่อช่วยดูดกลิ่นศพ
เครื่องตั้งบนโลงศพ
เครื่องตั้งบนโลงศพในระหว่างบำเพ็ญกุศล ประกอบด้วย ตุงเหล็กตุงตอง พานใส่มะพร้าวปลอกเปลือก ขันดอกไม้ บาตร และผ้าไตร โดยตุงเหล็กตุงตองทำจากโลหะและวัสดุอื่นๆ เช่น เหล็ก ทองเหลือง เงิน และทองคำเป็นต้น ทำเป็นตุงตัวขนาดเล็ก แขวนได้รอบ ๆ กับโครงยึดรูปวงกลม เชื่อว่าการถวายตุงมีอานิสงส์สูง ดวงวิญญาณผู้ตาย จะเกาะหางตุงขึ้นสู่สรรค์ ตุงเหล็กตุงตองบางท้องที่ทำทั้งหมด ๑๖ ตัว ห้อยแบ่งออกเป็น ๒ ข้าง ๆ ละ ๘ อัน มีความหมายถึงทางดีและทางชั่ว ๑๖ ประการ ทางดี ๘ ประการ (อริยมรรค) คือ เห็นดี ดำริดี พูดดี การงานดี อาชีพดี เพียรพยายามดี ระลึกดี และตั้งใจดี ส่วนทางชั่ว ๘ ประการ (สัมมัตตมรรคและมัจฉัตตมรรค) คือตรงข้ามกับทางดีทั้ง ๘ แต่บางแห่งก็ทำจำนวน ๑๑ ตัว ประกอบด้วน ตุงดิน ตุงทราย ตุงไม้ ตุงจืน(ตะกั่ว) ตุงเหียก (ชินหรือดีบุก) ตุงเหล็ก ตุงตอง (ทองคำ) ตามคัมภีร์อานิสงส์ทางตุง วัสดุเหล่านี้แทนการบำเพ็ญเพียรบารมี ๑o ทัศใน ๑o ชาติสุดท้ายนอกจากนี้ยังตั้งพานมะพร้าวปลอกเปลือกเตรียมไว้สำหรับใช้ล้างหน้าศพที่ป่าช้า เชื่อว่าน้ำมะพร้าวสะอาดบริสุทธิ์ เมื่อนำมาชะล้างสิ่งใดก็จะสะอาดบริสุทธิ์ บาตรที่ตั้งไว้บนโลงศพในวันเผาศพจะนำข้าวปลาอาหารผลไม้ใส่ไว้ให้เต็มบาตร เชื่อว่าดวงวิญญาณผู้ตายจะนำไปถวายพระธาตุเกศแก้วจุฬามณีบนสรวงสวรรคชั้นดาวดึงส์ รวมถึงขันข้าวตอกดอกไม้ตั้งไว้บนโลงศพ เชื่อว่าดวงวิญญาณจะนำไปบูชาพระธาตุเกศแก้วจุฬา ส่วนผ้าไตรในยุคโบราณชาวล้านนาไม่มีการทอดผ้าไตรและผ้ามหาบังสุกุล ต่อมาจึงนำมาตั้งไว้แล้วยกประเคนถวายพระพุทธในวันถวายทานก่อนจะไปเผาศพ ด้วยมีความเชื่อว่าช่วงระหว่างที่ศพยังไม่ได้ทำการเผาจะได้อยู่ร่มเงาของผ้าเหลือง จะได้เกาะชายผ้าเหลือง จะได้เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสู่สวรรค์ อีกประการหนึ่งในอดีตการถวายผ้าไตรกระทำได้ยาก ด้วยไม่มีผ้าไตรขายตามตลาด ต้องขอบูชามาจากวัดมาวางไว้แล้วยกประเคนพระพุทธทั้งบาตรและผ้าไตร เพื่อให้เกิดอานิสงส์แก่ดวงวิญญาณของผูวายชนม์
ไฟย่าม
ไฟย่ามจุดไว้ที่ปลายเท้าศพตลอดวันตลอดคืนไม่ให้ดับ ทั้งในช่วงห้างลอยและนำศพบรรจุลงโลงศพแล้ว ยุคโบราณใช้น้ำมันงา และน้ำมันละหุ่ง เป็นต้นใส่ในผางประทีปที่ปั้นจากดินเหนียว ต่อมาใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าด การจุดไฟยามมีทั้งด้านความเชื่อและการใช้ประโยชน์ คือ เชื่อว่าเป็นเครื่องเตือนสติว่ามนุษย์ประกอบขึ้นด้วยธาตุทั้ง ๔ เมื่อแตกดับชีวิตก็แตกดับไปด้วย เฉกเช่นดังไฟที่อาศัยน้ำมัน เมื่อน้ำมันหมดไฟก็ดับ อีกทั้งเชื่อว่าเป็นแสงสว่างส่องนำทางให้ดวงวิญญาณของผู้วายชนม์ไปสู่โลกหน้า ในด้านการใช้ประโยชน์เพื่อผู้อยู่เฝ้าศพจะได้มองเห็นสิ่งที่จะมารบกวนบริเวณตั้งศพ และช่วยคลายความกลัวจากความมืดในช่วงยามวิกาล
เซ่นศพ
เมื่อศพยังตั้งไว้ในเรือน บุตรหลานต้องจัดสำรับอาหารและน้ำเปล่ามาตั้งไว้บนโลงศพประจำทุกวันเรียกว่า “ขันพาด” (ออกเสียง “ขันป๊าด”) บางท้องถิ่นจัดเซ่นศพทั้ง ๓ มื้อ แต่บางแห่งก็จัดเซ่นศพเพียง ๑ มื้อ เมื่อยกอาหารมาตั้งให้เคาะโลงศพเรียกชื่อผู้ตายบอกให้ดวงวิญญาณ ด้วยมีความเชื่อว่าดวงวิญญาณก็จะมีความหิวจะมารับประทานอาหารที่จัดไว้ให้ อีกทั้งเกิดจากจิตใจของบุตรหลานที่ห่วงผู้ตาย ได้เคยร่วมรับประทานอาหารมาด้วยกันตลอดเมื่อครั้งยังมีชีวิต เมื่อวายชนม์ขณะศพยังตั้งอยู่ในเรือน ก็จัดหาอาหารให้ดวงวิญญาณเหมือนเมื่อครั้งมีชีวิตอยู่
อาหารจัดเลี้ยงงานศพ
ระหว่างที่จัดงานศพ เจ้าภาพจะมีข้อห้ามไม่ให้จัดเลี้ยงอาหารบางประการสำหรับแขกผู้มาร่วมงาน ทั้งอาหารทำจากฟักทุกชนิด โดยเฉพาะฟักเขียวที่ใช้ดูดกลิ่นศพ อาหารประเภททำด้วยเนื้อดิบ ที่สื่อให้รู้สึกถึงศพ และอาหารที่ใช้หยวกกล้วยและมีเส้น ด้วยเชื่อว่าจะมีการล้มตายติดต่อกันเหมือนเส้นใยของหยวกและเส้นที่ใช้ประกอบการทำอาหาร ส่วนอาหารที่นิยมทำเลี้ยงแขกผู้มาร่วมงาน เช่น แกงอ่อม แกงผัดกาด แคบหมู ไส้อั่วด และน้ำพริกต่าง ๆ เป็นต้น
เทศนาธรรมงานศพ
การเทศนาธรรมในงานศพช่วงเวลากลางคืนเรียกว่า “ธรรมทานหาผีตาย” เทศนาธรรมเป็นทำนองแบบล้านนา คัมภีร์ธรรมที่นิยมใช้เทศน์ คือ คัมภีร์ธรรมมาลัยโปรดโลก คัมภีร์ธรรมมหามูลนิพพาน คัมภีร์ธรรมวิสุทธิยา คัมภีร์ธรรมอานิสงส์ล้างคาบ และคัมภีร์สงส์ส่งสาร ยุคโบราณไม่นิยมเทศน์แบบปาฐกถาธรรม ด้วยศัทธาผู้ฟังมีความคิดว่าพระภิกษุผู้เทศน์กล่าวสอนเองไม่ได้มีในคัมภีร์ธรรมของพระพุทธเจ้า ก่อนรับศีลและก่อนเทศนาธรรม ก็จะเคาะโลงศพเรียกชื่อผู้ตายบอกกล่าวให้ดวงวิญญาณรับรู้ในการเทศนาธรรมทุกครั้ง การเทศนาธรรมมีวัตถุประสงค์ทั้งสั่งสอนผู้มาร่วมงานศพให้ตั้งอยู่ในความดี และอุทิศบุญกุศลเป็นอานิสงส์ให้กับดวงวิญญาณผู้ตาย
สวดพระอภิธรรม
ภายหลังจากเทศนาธรรมเป็นทำนองแบบล้านนา จะเป็นการสวดพระอภิธรรม โดยพระภิกษุสามเณรจำนวน ๔ รูป บทที่ใช้สวดคือ สิยา เยเก๋ เหตุปัจจะโย หรือสวดอภิธรรม ๗ คัมภีร์ เชื่อว่าเมื่อสวดพระอภิธรรม ดวงวิญญาณของผู้วายชนม์จะรู้ตัวว่าตนได้ตายแล้ว และจะได้เดินทางสู่โลกหน้า เป็นการเตรียมความพร้อมด้านปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อการดำรงชีวิตอยู่ในโลกหน้าสำหรับผู้ตายส่วนจารีตเดิมโบราณล้านนาจะมีการเทศนาธรรมเป็นทำนองแบบล้านนา เสร็จแล้วจะสวดสิยา เหตุปัจจะโย ที่เป็นภาษาบาลีมีเนื้อหาอยู่ในพระไตรปิฏก (พระไตรปิฏกฉบับภาษาบาล เล่มที่ ๔๕) มีพระสงฆ์จำนวน ๔ รูปนั่งล้อมวงสวดเป็นทำนอง ในจังหวัดเชียงใหม่มีความนิยมสวดพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ด้วย ๒ ทำนอง คือทำนองสวดสังโยค และทำนองล้านนา โดยทำนองล้านนาสามารถแบ่งย่อยออกเป็น ๓ ทำนอง คือ ทำนองม้าย่ำไฟ ทำนองมะนาวล่องของและทำนองธรรมวัตร ส่วนทำนองสวดสรภัญญะมี ๖ ทำนอง คือ ทำนองรำพันสังขาร ทำนองอภิธรรมยามดึก ทำนองสกุณารำพึง (ทำนองแสนสงสาร) ทำนองอภิธัมมัตถสังคหะ ทอนองพระมาลัยและทำนองสิยา
บทความโดย อาจารย์ ภูเดช แสนสา
ที่มาข้อมูล
ประเพณีทำศพ เอกสารชุดประเพณีเมืองเชียงใหม่ ของสภาวัตนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ.๒๕๘๓
ปรินาธรรมในพิธีกรรมล้านนา ของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ.๒๕๔๘
ส่งสการ : พิธีกรรมล้านนา ของศาสตรจารย์เกียรติคุณมณี พยอมยงค์ พ.ศ.๒๕๕๒
ประเพณีชีวิตคนเมือง ของพ่อครูศรีเลา เกษตรหม พ.ศ.๒๕๕๒
การวิเคราะห์เนื้อหาและทำนองสวดพระอภิธรรมที่ใช้สวดในจังหวัดเชียงใหม่ ของพระหมายุทธกิจนามชื่น พ.ศ.๒๕๕๑
โลกหน้าล้านนา : พัฒนาการสร้างปราสาทศพต่างสัตว์หิมพานต์และการก่อกู่ ของภูเดช แสนสา พ.ศ.๒๕๕๖
พระครูอดุลสีลกิตติ์ (ประพัฒน์ ฐานวุฑุโฒ) วัดธาตุคำ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
ใส่ความเห็น